การเลือกที่นอน สำหรับผู้ป่วย หรือผู้สูงอายุติดเตียง สำคัญอย่างไร? หลายๆคนคงทราบกันดีกว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่ “สังคมสูงอายุ” มาแล้ว ตั้งแต่ปี 2548 และในปี 2561 สัดส่วนผู้สูงอายุในประเทศไทยเกินกว่าร้อยละ 17 แล้ว กล่าวคือมีผู้สูงอายุมากกว่า 10 ล้านคน จากประชากรของประเทศ 65 ล้านคน ผู้สูงอายุเหล่านี้ ส่วนหนึ่งที่ต้องอยู่ในภาวะพึ่งพิง (Dependent) จากความเสื่อมสภาพของร่างกายและจากโรคภัยไข้เจ็บที่ทำให้เกิดความพิการ ทำให้จำนวนผู้สูงอายุที่ติดบ้านติดเตียงมีแนวโน้มสูงขึ้น
โดยลักษณะของผู้ป่วย หรือผู้สูงอายุ ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ป่วยติดบ้าน และผู้ป่วยติดเตียง
ผู้ป่วยติดบ้าน
ผู้ป่วยติดบ้าน คือ ผู้ที่สามารถเคลื่อนไหว เดินภายในบ้านได้ แต่ออกนอกบ้านไม่ได้ต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด ดังนั้น คนในครอบครัวต้องดูแลอาการให้คงที่ให้มากที่สุด แต่ยังสนับสนุนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น เดินเองได้ เข้าห้องน้ำเองได้ แปรงฟันเองได้ ควรระมัดระวังเรื่องการหกล้ม หรืออุบัติเหตุ เพื่อไม่ให้อาการทรุดลงไปกว่าเดิม
ผู้ป่วยติดเตียง
ผู้ป่วยติดเตียง คือ ผู้ป่วยที่มีโรค ไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวเองได้ หรืออาจจะเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังนั้น ควรดูแลผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีที่สุด ไม่มีแผลกดทับ อาหาร การขับถ่าย การปฏิบัติเหล่านี้ต้องคำนึงถึงความสะอาดและความเหมาะสม หมั่นขยับหรือยกส่วนต่างๆของตัวผู้ป่วยอยู่เสมอเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ
การเลือกที่นอน สำหรับผู้ป่วย หรือผู้สูงอายุติดเตียง
ที่นอนโฟม คือ ที่นอนที่ทำจากเนื้อโฟม ที่มีคุณสมบัติกระจายแรงกดทับ เหมาะกับผู้ป่วยที่ยังรู้สึกตัว และยังเคลื่อนไหวได้ สามารถใช้กับผู้ป่วยทั่วไป จนถึงผู้ป่วยที่เกิดแผลกดทับในเริ่มต้น ( ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะใช้วัสดุในการผลิตแตกต่างกันไป )
ที่นอนลม คือ ที่นอนที่ทำจากเนื้อพลาสติก ออกแบบให้ขยับได้เพื่อลดแรงกดทับ เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือผู้ป่วยที่เกิดแผลกดทับในระดับที่ 1-4 แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ที่นอนลมแบบลอน และแบบรังผึ้ง ซึ่งที่นอนลมแบบลอนจะบำรุงรักษาเปลี่ยนลอนได้ง่ายกว่า แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน
เปรียบเทียบข้อมูลของ ที่นอนโฟม และ ที่นอนลม ในการป้องกันแผลกดทับ
ที่นอนโฟมป้องกันแผลกดทับ รุ่น MERCURY | ที่นอนลมป้องกันแผลกดทับ ทั่วไป | |
รองรับน้ำหนัก | รับน้ำหนักได้ 254 Kg | รับน้ำหนักได้ 120 Kg |
การใช้ไฟฟ้า | ไม่ใช้ไฟฟ้า | ใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา |
ความสบาย | รองรับสรีระผู้นอน | ลอนขยับตลอดเวลา |
การทำความสะอาด | ผ้าคลุมกันน้ำ 100% ทำความสะอาดง่าย | ผิวเป็นลอน มีซอกเล็กๆ ทำความสะอาดยาก |
อายุการใช้งาน | อายุการใช้งาน > 8 ปี | ซ่อมบำรุงปั๊มลมบ่อย เพราะเปิดใช้งาน 24 ชม. |
ระดับการป้องกันแผลกดทับ | High Risk | High Risk |
ถ้าผู้ป่วย และผู้สูงอายุที่บ้านของคุณนอนติดเตียง
คุณควรรู้ก่อนว่า แผลกดทับคืออะไร?
แผลกดทับ ก็คือ บริเวณที่มีการตายของเซลล์และเนื้อเยื่อจากการขาดเลือด อันเป็นผลจาการถูกกดทับเป็นเวลานานๆ แผลกดทับมักจะเกิดบริเวณ เนื้อเยื่อที่อยู่เหนือปุ่มกระดูก เช่น บริเวณกระดูกก้นกบ กระดูกสะโพกตาตุ่ม แผลกดทับสามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกวัย ผู้มีปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ผู้สูงอายุที่มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังบางลง ผิวหนังเปราะบางฉีกขาดได้ง่าย และบุคคลที่ต้องนอนพักอยู่บนเตียงนานมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย หรือนอนติดเตียง
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ
- ผู้ที่ไม่รู้สึกตัว หรือเป็นอัมพาต นอนอยู่ท่าเดียวเป็นเวลานานไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย
- ผู้มีการจำกัดการเคลื่อนไหว หรือจำกัดกิจกรรมเช่น ผู้ที่ใส่เฝือกหลังการผ่าตัดใหญ่
- ผู้ป่วยที่มีความเปียกชื้นจากเหงื่อ อุจจาระ หรือปัสสาวะราดบ่อย ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีสภาพเป็นด่าง ความสามารถในการต้านเชื้อโรคจากแบคทีเรียลดลง ทำให้เนื้อเยื่อได้รับการระคายเคือง เกิดการฉีกขาดได้ง่าย และเกิดแผลกดทับในที่สุด
- ภาวะขาดสารอาหาร ส่งผลให้มีระดับโปรตีนในเลือดน้อยกว่าปกติ ทำให้มีอาการบวมซึ่งเป็นตัวขัดขวางการไหลเวียนเลือดในการส่งอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อ จึงเกิดแผลกดทับ เกิดแผลได้ง่าย และแผลจะหายช้า
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือผอม ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น มีโอกาสเกิดแผลกดทับได้มากกว่า
- แรงกดและแรงเสียดทานทำให้เนื้อเยื่อเกิดการบาดเจ็บฉีกขาดได้ง่าย มักพบในรายที่เป็นอัมพาตต้องยกผู้ป่วยบ่อยจึงทำให้เกิดแผลกดทับได้ง่าย
- ภาวะไข้ อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส (Celsius) ทำให้มีการเผาผลาญอาหารมากขึ้น เป็นปัจจัยเสริมให้เซลล์และเนื้อเยื่อขาดเลือดและเนื้อเยื่อตายได้ง่าย
- ยิ่งอายุมากขึ้นหมายความว่า ร่างกายของเราจะฟื้นตัวได้ช้าลง จึงเพิ่มความรุนแรงของแผลกดทับ
ตำแหน่งที่เกิดแผลกดทับได้บ่อย
- ท่านอนหงาย : ท้ายทอย ใบหู ด้านหลังส่วนบน ก้นกบ ข้อศอก ส้นเท้า
- ท่านอนคว่ำ : ใบหูและแก้ม หน้าอกและใต้ราวนม หน้าท้อง หัวไหล่ ปุ่มกระดูกสะ โพก หัวเข่า ปลายเท้า
- ท่านอนตะแคง : ศีรษะด้านข้าง หัวไหล่ กระดูกก้นกบ ปุ่มกระดูกต้นขา ฝีเย็บ หัวเข่าด้านหน้า ตาตุ่ม
- ท่านั่ง : ก้นกบ ปุ่มกระดูกก้นกบ หัวเข่าด้านหน้า กระดูกสะบัก เท้า ข้อเท้าด้านนอก
ระดับความรุนแรงของแผลกดทับ
- ระดับที่ 1
ผิวหนังบริเวณที่ถูกกดทับจะเป็นรอยแดง ไม่มีรอยฉีกขาด แต่สีของผิวหนังอาจเป็นสีแดงคล้ำเพราะมีการคั่งของเลือดจากการกดทับ รอยแดงจะไม่หายไปภายใน 30 นาทีเมื่อเปลี่ยนท่า - ระดับที่ 2
มีการสูญเสียผิวหนังบางส่วนถึงชั้นหนังกำพร้า ผิวหนังอาจฉีกขาดหรือไม่ฉีกขาดเช่น รอยถลอก เป็นตุ่มพองอาจมีน้ำเหลืองบริเวณตุ่มน้ำที่แตกออกหรือเป็นแผลตื้นๆ โดยไม่มีเนื้อตาย - ระดับที่ 3
มีการสูญเสียผิวหนังทั้งหมด เกิดแผลลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง ชั้นพังผืด แต่ไม่ถึงชั้นกล้ามเนื้อ เอ็น และกระดูก อาจเป็นหลุมลึกหรือเป็นโพรงใต้ขอบแผลอาจพบเนื้อตายบางส่วนของแผล - ระดับที่ 4
มีการสูญเสียผิวหนังทั้งหมด มองเห็นชั้นกล้ามเนื้อ กระดูก เอ็น หรือเยื่อหุ้มข้อต่อ พื้นแผลอาจมีเนื้อตายหรือสะเก็ดแข็งปกคลุมบางส่วน และส่วนใหญ่มีโพรงและช่องใต้ขอบแผล
การป้องกันและหลีกเลี่ยงการเกิดแผลกดทับ
- ควรเปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อลดแรงกด ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น หมั่นตรวจสอบบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับทุกวัน สังเกตรอยแดงของผิว หากมีรอยแดงถือว่ามีโอกาสเสี่ยงที่บริเวณดังกล่าวจะเกิดแผลกดทับ
- การใช้อุปกรณ์ลดแรงกด เช่น ที่นอนโฟม หรือที่นอนลม ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยง ใช้เบาะรองก้นในผู้ที่นั่งรถเข็น ยกก้นลอยพ้นพื้นที่นั่งทุก 15 – 30 นาที เพราะจะช่วยลดแรงกดทับบริเวณก้นกบ ใช้อุปกรณ์ช่วยในการเคลื่อนย้ายเช่น ผ้ายกตัว แผ่นรองตัวขณะเคลื่อนย้าย (Pat slide)
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่น หลังทำความสะอาด ร่างกายควรทาครีม ทาโลชั่น หรือน้ำมันมะกอก วันละ 3 – 4 ครั้งเพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นป้องกันผิวแห้งและฉีกขาด ผู้ที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ควรทำความสะอาดทุกครั้งหลังการขับถ่ายและซับให้แห้ง พร้อมใช้ปิโตรเลียม เจลลี่ หรือวาสลีน (Vaseline) ทาหนาๆบริเวณรอบๆปากทวารหนัก และแก้มก้นทั้ง 2 ข้างเพื่อป้องกันการระคายผิวหนังจากความเปียกชื้น ในรายที่ไม่สามารถควบคุมการถ่ายอุจจาระควรใช้ แผ่นรองก้น (Blue pad) แทนการใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ เพราะมีโอกาสเกิดการอับชื้นได้ง่ายและเกิดแผลกดทับตามมา
- ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- จัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดการอับชื้นของผิวหนัง
- ดูแลผ้าปูที่นอนให้สะอาดแห้งและเรียบตึงเสมอเพื่อลดความเปียกชื้นและลดแรงเสียดทาน
- สวมใส่เสื้อผ้าที่พอดีไม่คับแน่นเกินไป จัดเสื้อผ้าให้เรียบ หลีกเลี่ยงการนอนทับตะเข็บเสื้อและปมผูกต่างๆเพื่อลดแรงกดบริเวณผิวหนัง
- เลือกอาหารเพื่อสุขภาพ ได้รับอาหารครบตามหลักโภชนาการ (อาหารมีประโยชน์ 5 หมู่) โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินซี และดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้วจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง และผิวหนังยืดหยุ่นมีความชุ่มชื้น
สงวนลิขสิทธิ์สำหรับบริษัท ฟาร์ ทริลเลียน จำกัด © 2018